ข้อใดเป็นสมบัติที่สำคัญที่สุดที่ทำให้แก๊สแตกต่างจากของแข็งและของเหลว
ก.สามารถเปลี่ยนสถานะได้ง่าย
ข.มีแรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาคที่แข็งแรง
ค.อนุภาคมีการสั่น
ง.อนุภาคเคลื่อนที่แบบสุ่มและมีช่องว่างระหว่างกันมาก
ง.อนุภาคเคลื่อนที่แบบสุ่มและมีช่องว่างระหว่างกันมาก
สมบัตินี้เป็นลักษณะเด่นของแก๊ส ซึ่งทำให้แก๊สสามารถขยายตัวเต็มภาชนะที่บรรจุและมีความหนาแน่นต่ำ
แก๊สชนิดหนึ่งถูกบรรจุในภาชนะที่มีลูกสูบที่เคลื่อนที่ได้ ถ้าเพิ่มความดันภายนอกเข้าสู่ระบบโดยที่อุณหภูมิคงที่ ปริมาตรของแก๊สจะเปลี่ยนแปลงอย่างไร
ก.ลดลง
ข.คงที่
ค.ไม่สามารถระบุได้
ง.เพิ่มขึ้น
ก.ลดลง
จากกฎของบอยล์ (P1V1=P2V2) เมื่ออุณหภูมิคงที่และเพิ่มความดัน จะทำให้ปริมาตรของแก๊สลดลง
ที่สภาวะมาตรฐาน (STP: Standard Temperature and Pressure) ซึ่งคืออุณหภูมิ 0 °C และความดัน 1 atm แก๊สอุดมคติ 1 โมลจะมีปริมาตรเท่าใด
ก.22.7 L
ข.1.0 L
ค.22.4 L
ง.24.5 L
ค.22.4 L
ที่สภาวะ STP แก๊สอุดมคติ 1 โมล จะมีปริมาตรเท่ากับ 22.4 L เสมอ
ข้อใดต่อไปนี้กล่าวถึงพฤติกรรมของแก๊สจริงเมื่อเปรียบเทียบกับแก๊สอุดมคติได้ถูกต้อง
ก.แก๊สจริงเคลื่อนที่แบบสุ่มและชนกันแบบยืดหยุ่น
ข.ปริมาตรของโมเลกุลแก๊สจริงมีค่าน้อยมากจนสามารถละเลยได้
ค.แก๊สจริงมีแรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุลในขณะที่แก๊สอุดมคติไม่มี
ง.แก๊สจริงและแก๊สอุดมคติมีพฤติกรรมเหมือนกันทุกประการ
ค.แก๊สจริงมีแรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุลในขณะที่แก๊สอุดมคติไม่มี
สมมติฐานของแก๊สอุดมคติคือไม่มีแรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุล แต่ในความเป็นจริงแล้วแก๊สจริงทุกชนิดมีแรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุล ซึ่งจะมีผลชัดเจนขึ้นเมื่อความดันสูงและอุณหภูมิต่ำ
จากสมการแก๊สอุดมคติ PV=nRT ค่าคงที่ของแก๊สสากล (R) จะมีค่าเท่าใดในหน่วย J/mol.K
ก.8.314
ข.1.987
ค.0.0821
ง.6.02×1023
ก.8.314
คือค่าคงที่ของแก๊สสากลเมื่อใช้หน่วย SI
ถ้าอุณหภูมิของแก๊สอุดมคติในภาชนะปิดเพิ่มขึ้นเป็น 4 เท่าของอุณหภูมิเดิม (ในหน่วยเคลวิน) อัตราเร็วเฉลี่ยของโมเลกุลแก๊สจะเปลี่ยนแปลงอย่างไร
ก.คงที่
ข.เพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า
ค.เพิ่มขึ้นเป็น 16 เท่า
ง.เพิ่มขึ้นเป็น 4 เท่า
ข.เพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า
อัตราเร็วรากที่สองของกำลังสองเฉลี่ย (vrms) ของโมเลกุลแก๊สแปรผันตรงกับรากที่สองของอุณหภูมิสัมบูรณ์ (รากที่2ของT) ดังนั้นเมื่ออุณหภูมิเพิ่มขึ้นเป็น 4 เท่า อัตราเร็วเฉลี่ยจะเพิ่มขึ้นเป็น รากที่2ของ4 หรือ 2 เท่า
แก๊ส 2 ชนิด คือ H2 และ O2 มีอุณหภูมิเท่ากัน ข้อใดกล่าวถึงพลังงานจลน์เฉลี่ยของแก๊สทั้งสองได้ถูกต้อง
ก.ไม่สามารถเปรียบเทียบได้
ข.พลังงานจลน์เฉลี่ยของ H2 เท่ากับ O2
ค.พลังงานจลน์เฉลี่ยของ H2 มากกว่า O2
ง.พลังงานจลน์เฉลี่ยของ O2 มากกว่า H2
ข.พลังงานจลน์เฉลี่ยของ H2 เท่ากับ O2
จากทฤษฎีจลน์ของแก๊ส พลังงานจลน์เฉลี่ยของแก๊สแปรผันตรงกับอุณหภูมิสัมบูรณ์ (Ek=3/2kBT) ดังนั้นเมื่ออุณหภูมิเท่ากัน พลังงานจลน์เฉลี่ยจึงเท่ากัน
ในการคำนวณความหนาแน่นของแก๊ส (ρ) จากสมการแก๊สอุดมคติ PV=nRT สามารถเขียนสมการใหม่ในรูปของความหนาแน่นได้อย่างไร (ให้ M คือมวลโมเลกุลของแก๊ส)
ก.ρ=PM/T/
ข.ρ=RT/PM
ค.ρ=P/VRT
ง.ρ=mRT/p
จาก PV=nRT และ n=m/M จะได้ PV=m/M(RT) ดังนั้น P=(m/V)(RT/M)=ρRT/M เมื่อจัดรูปจะได้ ρ=PM/RT
ถ้าแก๊สฮีเลียม (He) และแก๊สมีเทน (CH4) มีมวลโมเลกุลประมาณ 4 g/mol และ 16 g/mol ตามลำดับ อัตราส่วนของอัตราเร็วการแพร่ของ He ต่อ CH4 จะเป็นเท่าใด
ก.1:4
ข.1:2
ค.2:1
ง.4:1
ค.2:1
แก๊สอุดมคติปริมาณหนึ่งถูกบรรจุในภาชนะปิดที่มีปริมาตรคงที่ ถ้าเพิ่มอุณหภูมิสัมบูรณ์ (T) ของแก๊สเป็นสองเท่า (2T) ความดัน (P) ของแก๊สจะเปลี่ยนแปลงอย่างไร
ก.ความดันเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า
ข.ความดันคงที่
ค.ความดันลดลงเหลือครึ่งหนึ่ง
ง.ความดันเพิ่มขึ้นเป็นสี่เท่า
ก.ความดันเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า
จากกฎของเกย์-ลูสแซก (P/T=constant หรือ P∝T) เมื่ออุณหภูมิสัมบูรณ์เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า ความดันของแก๊สจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าเช่นกัน โดยที่ปริมาตรและจำนวนโมลคงที่
ภาชนะ 2 ใบ มีขนาดเท่ากัน บรรจุแก๊สฮีเลียม (He) และแก๊สอาร์กอน (Ar) ที่อุณหภูมิและความดันเดียวกัน ข้อใดกล่าวถูกต้อง
ก.พลังงานจลน์เฉลี่ยของโมเลกุลแก๊สอาร์กอนมากกว่าแก๊สฮีเลียม
ข.ความเร็วรากที่สองของกำลังสองเฉลี่ย (rms speed) ของโมเลกุลแก๊สอาร์กอนมากกว่าแก๊สฮีเลียม
ค.มวลของแก๊สฮีเลียมมากกว่าแก๊สอาร์กอน
ง.จำนวนโมเลกุลของแก๊สฮีเลียมมากกว่าแก๊สอาร์กอน
ก.พลังงานจลน์เฉลี่ยของโมเลกุลแก๊สอาร์กอนมากกว่าแก๊สฮีเลียม
พลังงานจลน์เฉลี่ยของโมเลกุลแก๊สขึ้นอยู่กับอุณหภูมิสัมบูรณ์เท่านั้น เนื่องจากแก๊สทั้งสองมีอุณหภูมิเท่ากัน จึงมีพลังงานจลน์เฉลี่ยเท่ากัน
การกระทำใดที่ทำให้พฤติกรรมของแก๊สจริงใกล้เคียงกับแก๊สอุดมคติมากที่สุด
ก.ลดความดันและลดอุณหภูมิ
ข.ลดความดันและเพิ่มอุณหภูมิ
ค.เพิ่มความดันและลดอุณหภูมิ
ง.เพิ่มความดันและเพิ่มอุณหภูมิ
ข.ลดความดันและเพิ่มอุณหภูมิ
แก๊สจริงจะแสดงพฤติกรรมคล้ายแก๊สอุดมคติเมื่อความดันต่ำ (ทำให้ระยะห่างระหว่างโมเลกุลมากจนแรงยึดเหนี่ยวมีค่าน้อยมาก) และอุณหภูมิสูง (ทำให้โมเลกุลเคลื่อนที่เร็วมากจนแรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุลไม่มีผล)
ข้อใดเป็นสมมติฐานที่สำคัญของทฤษฎีจลน์ของแก๊ส (Kinetic Theory of Gases)
ก.การชนระหว่างโมเลกุลแก๊สเป็นแบบไม่ยืดหยุ่น
ข.โมเลกุลแก๊สมีแรงยึดเหนี่ยวซึ่งกันและกันอย่างมาก
ค.ปริมาตรของโมเลกุลแก๊สแต่ละตัวมีค่าเท่ากับปริมาตรของภาชนะ
ง.โมเลกุลแก๊สเคลื่อนที่แบบสุ่มในแนวเส้นตรงตลอดเวลา
ง.โมเลกุลแก๊สเคลื่อนที่แบบสุ่มในแนวเส้นตรงตลอดเวลา
สมมติฐานข้อนี้อธิบายการเคลื่อนที่ของโมเลกุลแก๊สที่เป็นแบบสุ่มและเป็นไปตามหลักการเชิงกลของนิวตันจนกว่าจะมีการชนเกิดขึ้น
ถ้าแก๊สอุดมคติปริมาณหนึ่งมีความดัน (P) ปริมาตร (V) และอุณหภูมิสัมบูรณ์ (T) ตามสมการ PV=nRT ถ้าทำการอัดแก๊สโดยที่อุณหภูมิคงที่ ข้อใดต่อไปนี้เป็นกราฟที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่าง P กับ V ที่ถูกต้อง
ก.เส้นโค้งพาราโบลา (P∝V2)
ข.เส้นตรงขนานกับแกน V
ค.เส้นโค้งไฮเพอร์โบลา (P∝1/V)
ง.เส้นตรงผ่านจุดกำเนิด (P∝V)
ค.เส้นโค้งไฮเพอร์โบลา (P∝1/V)
จากกฎของบอยล์ที่อุณหภูมิคงที่ (T=constant) ความดันจะแปรผกผันกับปริมาตร (P∝1/V) ดังนั้นกราฟที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่าง P และ V จะเป็นเส้นโค้งไฮเพอร์โบลา
แก๊สชนิดหนึ่งมีความดัน 2 atm และปริมาตร 4 L ที่อุณหภูมิ 27 °C ถ้าอุณหภูมิเพิ่มขึ้นเป็น 127 °C โดยปริมาตรคงที่ ความดันของแก๊สจะเป็นเท่าใดในหน่วย atm
ก.1.33 atm
ข.1.5 atm
ค.2.67 atm
ง.3.0 atm
ค.2.67 atm
ต้องเปลี่ยนอุณหภูมิจากเซลเซียสเป็นเคลวินก่อน (T1=27+273=300 K, T2=127+273=400 K) จากกฎของเกย์-ลูสแซก P1/T1=P2/T2 จะได้ 2/300=P2/400 ดังนั้น P2=(2×400)/300=8/3≈2.67 atm
แก๊สไนโตรเจน (N2) และแก๊สออกซิเจน (O2) ผสมกันในภาชนะปิดที่มีความดันรวม 500 kPa ถ้าความดันย่อยของแก๊สไนโตรเจนเท่ากับ 350 kPa ความดันย่อยของแก๊สออกซิเจนจะเป็นเท่าใด
ก.850 kPa
ข.150 kPa
ค.350 kPa
ง.500 kPa
ข.150 kPa
ตามกฎความดันย่อยของดาลตัน ความดันรวมของแก๊สผสมจะเท่ากับผลรวมของความดันย่อยของแก๊สแต่ละชนิด ดังนั้น Pรวม=PN2+PO2 จะได้ 500=350+PO2 ดังนั้น PO2=500−350=150 kPa
ถ้าเพิ่มปริมาตรของแก๊สอุดมคติที่อุณหภูมิคงที่ อัตราเร็วเฉลี่ยของโมเลกุลแก๊สจะเปลี่ยนแปลงอย่างไร
ก.ลดลง
ข.ไม่สามารถระบุได้
ค.คงที่
ง.เพิ่มขึ้น
ค.คงที่
อัตราเร็วเฉลี่ยของโมเลกุลแก๊สขึ้นอยู่กับอุณหภูมิสัมบูรณ์เท่านั้น (Ek=1/2mv2=3/2kBT) เนื่องจากอุณหภูมิคงที่ อัตราเร็วเฉลี่ยของโมเลกุลแก๊สจึงคงที่ด้วย
แก๊ส 2 ชนิดมีปริมาตรเท่ากันที่อุณหภูมิและความดันเดียวกัน แก๊สชนิดแรกเป็นมีเทน (CH4) แก๊สชนิดที่สองเป็นซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (SO2) อัตราส่วนของจำนวนโมเลกุลของ CH4 ต่อ SO2 คือเท่าใด
ก.16:64
ข.4:1
ค.1:4
ง.1:1
ง.1:1
ตามกฎของอาโวกาโดร ภายใต้อุณหภูมิและความดันเดียวกัน แก๊สที่มีปริมาตรเท่ากันจะมีจำนวนโมเลกุลเท่ากันเสมอ ไม่ว่าแก๊สชนิดนั้นจะเป็นแก๊สอะไร
ถ้าแก๊ส 2 ชนิดมีอุณหภูมิเท่ากัน ข้อสรุปใดถูกต้องเกี่ยวกับพลังงานจลน์เฉลี่ยของโมเลกุลแก๊สแต่ละชนิด
ก.ไม่สามารถสรุปได้เนื่องจากไม่ทราบความดันและปริมาตร
ข.พลังงานจลน์เฉลี่ยของแก๊สที่มีมวลโมเลกุลมากกว่าจะมีค่ามากกว่า
ค.พลังงานจลน์เฉลี่ยของแก๊สที่มีมวลโมเลกุลน้อยกว่าจะมีค่ามากกว่า
ง.พลังงานจลน์เฉลี่ยของแก๊สทั้งสองชนิดมีค่าเท่ากัน
ง.พลังงานจลน์เฉลี่ยของแก๊สทั้งสองชนิดมีค่าเท่ากัน
เนื่องจากพลังงานจลน์เฉลี่ยของแก๊สขึ้นอยู่กับอุณหภูมิสัมบูรณ์เพียงอย่างเดียว ดังนั้นแก๊สทุกชนิดที่มีอุณหภูมิเท่ากันจะมีพลังงานจลน์เฉลี่ยเท่ากัน
การเพิ่มอุณหภูมิของแก๊สในภาชนะปิดมีผลอย่างไรต่อความถี่ของการชนกันระหว่างโมเลกุลกับผนังภาชนะ
ก.ไม่สามารถระบุได้
ข.ความถี่คงที่
ค.ความถี่เพิ่มขึ้น
ง.ความถี่ลดลง
ค.ความถี่เพิ่มขึ้น
การเพิ่มอุณหภูมิทำให้โมเลกุลเคลื่อนที่เร็วขึ้น ส่งผลให้ความถี่ในการชนกับผนังภาชนะและแรงที่ชนเพิ่มขึ้น ซึ่งทำให้ความดันของแก๊สเพิ่มขึ้นด้วย
1. ข้อใดต่อไปนี้ไม่ใช่สมมติฐานหลักของทฤษฎีจลน์ของแก๊สอุดมคติ
ก.การชนกันระหว่างอนุภาคแก๊สเป็นการชนแบบไม่ยืดหยุ่น
ข.อนุภาคแก๊สมีปริมาตรเล็กมากเมื่อเทียบกับปริมาตรภาชนะ
ค.อนุภาคแก๊สเคลื่อนที่แบบสุ่มและเป็นเส้นตรงตลอดเวลา
ง.ไม่มีแรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาคแก๊ส
ก.การชนกันระหว่างอนุภาคแก๊สเป็นการชนแบบไม่ยืดหยุ่น
สมมติฐานที่ถูกต้องคือการชนกันระหว่างอนุภาคแก๊สเป็นการชนแบบยืดหยุ่นโดยสมบูรณ์ ซึ่งหมายถึงพลังงานจลน์รวมของระบบคงที่
ความดันของแก๊สเกิดจากสาเหตุใดตามหลักทฤษฎีจลน์ของแก๊ส
ก.แรงดึงดูดระหว่างโมเลกุลแก๊ส
ข.การสั่นของโมเลกุลแก๊ส
ค.ความร้อนที่ปล่อยออกมาจากโมเลกุลแก๊ส
ง.การชนกันของโมเลกุลแก๊สกับผนังภาชนะ
ง.การชนกันของโมเลกุลแก๊สกับผนังภาชนะ
ความดันคือแรงที่โมเลกุลแก๊สกระทำต่อผนังภาชนะต่อหนึ่งหน่วยพื้นที่ ซึ่งเกิดจากการชนกันอย่างต่อเนื่อง
พลังงานจลน์เฉลี่ยของโมเลกุลแก๊สอุดมคติแปรผันตามปริมาณใด
ก.มวลโมเลกุลของแก๊ส
ข.อุณหภูมิในหน่วยองศาเซลเซียส
ค.อุณหภูมิสัมบูรณ์ (เคลวิน)
ง.ความดันของแก๊ส
ค.อุณหภูมิสัมบูรณ์ (เคลวิน)
จากทฤษฎีจลน์ของแก๊ส Ek=3/2kBT ซึ่งแสดงให้เห็นว่าพลังงานจลน์เฉลี่ยของโมเลกุลแก๊สแปรผันตรงกับอุณหภูมิสัมบูรณ์ (T)
ถ้าอุณหภูมิสัมบูรณ์ของแก๊สเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า พลังงานจลน์เฉลี่ยของโมเลกุลแก๊สจะเปลี่ยนแปลงอย่างไร
ก.เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า
ข.คงที่
ค.ลดลงเหลือครึ่งหนึ่ง
ง.เพิ่มขึ้นเป็นสี่เท่า
ก.เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า
จากสมการ Ek=3/2kBT พลังงานจลน์เฉลี่ยแปรผันตรงกับอุณหภูมิสัมบูรณ์ (T) ดังนั้นเมื่อ T เพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า พลังงานจลน์เฉลี่ยก็จะเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าด้วย
ในทฤษฎีจลน์ของแก๊ส สมมติฐานที่ว่า 'ไม่มีแรงดึงดูดหรือแรงผลักระหว่างอนุภาคแก๊ส' มีผลสำคัญอย่างไร
ก.ทำให้แก๊สมีปริมาตรคงที่
ข.ทำให้ความดันของแก๊สไม่เปลี่ยนแปลงตามอุณหภูมิ
ค.ทำให้ความเร็วของโมเลกุลแก๊สมีค่าคงที่
ง.ทำให้พลังงานศักย์ของระบบมีค่าเป็นศูนย์
ง.ทำให้พลังงานศักย์ของระบบมีค่าเป็นศูนย์
แรงดึงดูดหรือแรงผลักระหว่างโมเลกุลคือที่มาของพลังงานศักย์ ดังนั้นเมื่อไม่มีแรงนี้ พลังงานศักย์จึงมีค่าเป็นศูนย์